วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิธีปลูกดอกลิลลี่













ลิลลี่ Lilium

เป็นไม้หัวที่มีดอกใหญ่สวยงาม มีหลายพันธุ์ทั้งแบบที่มีกลิ่นหอมและไม่มีกลิ่น มีสีให้เลือกมากมายตั้งแต่สีขาวไปจนถึงสีแดงเข้มเกือบม่วง ในปัจจุบันมีลิลลี่ลูกผสมหลากหลายพันธุ์แบ่งได้ดังนี้ Asiatic, Martagon, Candidum, American, Trumpet และ Oriental ซึ่งแต่ละพันธุ์จะลักษณะดอกและการดูแลแตกต่างกัน

ลักษณะหัวลิลลี่ Lily bulbs

หัวลิลลี่จะมีลักษณะเป็นกลีบ เหมือนหัวกระเทียม ลิลลี่แท้จะมีลักษณะเหมือนในภาพด้านล่าง บางพันธุ์จะมีสีของหัวแตกต่างกันไป

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

  • ดินสำหรับปลูกลิลลี่ ควรเป็นดินโปร่งร่วน ระบายน้ำได้ดี หรือใช้พีทมอสที่มีน้ำหนักเบา
  • ต้องการแสงร่ม-รำไร ไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง
  • อุณหภูมิที่เหมาะสม ประมาณ 20-32 องศาเซลเซียส
  • ควรรดน้ำวันละครั้ง หรือสองวันครั้ง โดยไม่ควรให้ดินแฉะ เนื่องจากรากและหัวจะเน่า และไม่ควรรดโดนดอกและใบ

วิธีปลูกลิลลี่

  • ใช้กระถาง 4 นิ้วหรือใหญ่กว่าสำหรับลิลลี่ 1 หัว
  • ใส่ดินร่วน หรือวัสดุปลูกเช่นพีทมอส
  • ขุดหลุมลึกประมาณ 3-5 นิ้ว โดยประมาณให้ลึกพอสำหรับฝังหัวลิลลี่ไว้ใต้ดิน
  • ใส่ปุ๋ยเร่งดอกที่ก้นหลุมแล้วใช้ดินกลบปุ๋ยไว้ชั้นหนึ่ง
  • วางหัวลิลลี่ ให้รากชี้ลงที่ก้นหลุม แล้วใช้ดินกลบหัวไว้จนมิด ถ้าหากหัวลิลลี่มีลำต้นงอกแล้ว ให้กลบดินขึ้นไปถึงโคนต้นประมาณ 1 นิ้ว
  • รดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้นรดน้ำวันละครั้ง หรือรดน้ำวันเว้นวันหากใช้พีทมอส

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • หากต้องการเก็บรักษาหัวพันธุ์ หลังจากดอกบานจนหมดแล้ว ให้นำกระถางไปวางในที่ๆมีแสงสว่างมากขึ้น ให้น้ำตามปกติ จนใบเริ่มเหลือง จึงขุดหัวขึ้นมาทำความสะอาด แล้วบรรจุในถุงพลาสติก นำไปเก็บในตู้เย็น จนต้นเริ่มงอก จึงนำออกมาปลูกใหม่ได้
  • ขณะดอกบาน ควรเก็บเกสรตัวผู้ออก เพื่อป้องกันไม่ให้ละอองเกษรตัวผู้เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า

วิธีปลูกดอกคาร์เนชั่น


คาร์เนชั่นเป็นไม้พื้นเมืองของประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะเดิมคล้ายดอกผีเสื้อชั้นเดียวสีชมพูสด มีกลิ่นหอมคล้ายกานพลู ออกดอกเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิที่มีสภาพวันยาว ในปัจจุบันนี้ได้รับการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์มานานหลายร้อยปีทำให้ได้ดอกมีกลีบซ้อนกันแน่น สีต่าง ๆ เช่น ขาว ชมพู แดง เหลือง ส้ม บานเย็นและสีลายดอกมีก้านยาวตรงและแข็งแรง ออกดอกได้ตลอดปี บางพันธุ์ยังมีกลิ่นหอมอยู่ พันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากคือ พันธุ์ “Sim” สีต่างๆ และพันธุ์อื่นๆ ที่สร้างขึ้นในยุโรป

คาร์เนชั้นมี 2 ประเภท แต่ละประเภทมีพันธุ์ต่าง ๆ เฉพาะ

1. คาร์เนชั่นดอกเดี่ยว (Standard carnation) มีดอกใหญ่ขนาด 3 นิ้วขึ้นไป ก้านดอกหนึ่งๆ เลี้ยงให้มีดอกเดียว การปลูกต้องเด็ดดอกข้างออกให้เหลือแต่ดอกกลาง เช่นพันธุ์ White Sim, Red Sim เป็นต้น

2. คาร์เนชั่นดอกช่อ หรือคาร์เนชั่นสเปรย์ (Spray Carnation) พวกนี้มีดอกเล็กขนาด 1- 2 นิ้ว ก้านหนึ่งมี 3-5 ดอกบานพร้อมกัน การปลูกให้เด็ดดอกกลางออก ปล่อยให้ดอกข้างทั้งหมดเจริญ เช่น พันธุ์ Exquisite, Karina เป็นต้น

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
คาร์เนชั่นมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dianthus caryophyllus อยู่ในวงศ์ Caryophyllaceae และเป็นพืชยืนต้นมีชีวิตยาวหลายฤดู (perennial) แต่นิยมปลูกเลี้ยงกันในต่างประเทศเพียง 2 ปีในโรงกระจก สำหรับในเมืองไทยนั้นอาจปลูกเพียงฤดูเดียวหรือ 2 ฤดูเป็นอย่างมากก็รื้อแปลงทิ้งแล้วปลูกใหม่
คาร์เนชั้นมีลำต้นเป็นกอ กิ่งก้านยาวเก้งก้างต้องมีการคํ้าต้นจึงจะทำให้ก้านดอกตรง ใบของคาร์เนชั่นเรียวยาวสีเขียวอมฟ้าหม่นดูเหมือนมีขึ้ผึ้งสีขาวขุ่นเคลือบอยู่บาง ๆ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบและไม่มีก้านใบ ใบเกิดเป็นคู่โอบรอบข้อทำให้ดูบวมโตเฉพาะตรงข้อ ดอกมีกลีบบาง โคนกลีบสอบลงเป็นรูปลิ่ม ปลายกลีบหยักเป็นฟันเลื่อยละเอียดหรือหยักเป็นคลื่น กลีบดอกเรียงซ้อนกันแน่นโดยมีกลีบรองดอก (calyx) สีเขียวรูปกรวยโอบรัดโคนกลีบไว้ ปลายกลีบรองดอกหยักเป็นสามเหลี่ยมเล็กๆ 5 หยัก ดอกมีกลิ่นหอมคล้ายกานพลู ก้านดอกกลมเรียบ หักออกได้ง่ายตรงข้อ โดยไม่ฉีกขาด
คาร์เนชั่นมีดอกสวย มีสีต่างๆ กลิ่นหอมและบานทน พันธุ์ต่างๆ ที่ปลูกกันอยู่ได้รับการผสมพันธุ์ในต่างประเทศแถวทวีปยุโรป หรืออเมริกาเพื่อให้ปลูกในโรงกระจกที่มีการควบคุมอุณหภูมิ หรือนำ ไปปลูกในที่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ๆ ที่มีอากาศเย็น แหล่งผลิตคาร์เนชั่นดอกเดี่ยวที่สำคัญของโลกอยู่ที่เมืองโบโกตาในประเทศโคลัมเบีย ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,800 เมตร สำหรับคาร์เนชั้น ดอกช่อผลิตกันมากที่ริมทะเลสาปไนวาชาประเทศเคนยาของทวีปแอฟริกา ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,600 เมตร ดังนั้นแหล่งปลูกที่เหมาะสมในเมืองไทยคือ สภาพบนภูเขาที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากๆ ตามดอยต่างๆ ในภาคเหนือ เช่นดอยอ่างขาง ดอยสามหมื่น และดอยอินทนนท์ เป็นต้น ถ้าจะปลูกคาร์เนชั่นในพื้นที่ราบเชียงใหม่หรือจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือและอีสานก็ทำได้เช่นเชียงราย เลย เป็นต้น โดยเอากิ่งชำที่ออกรากแล้วปลูกเมื่อหมดฤดูฝนคือ ประมาณช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายน และจะเริ่มให้ดอกประมาณต้นเดือนมีนาคมเป็นต้นไป เมื่อหมดดอกแล้วควรรอแปลงทิ้ง เพราะถ้าได้รับสภาพแวดล้อมในฤดูร้อนจะมีปัญหาจากแมลงคือ หนอนผีเสื้อ ประกอบกับอากาศร้อนทำให้ต้นโทรม ถ้าจะเลี้ยงต้นต่อไปในฤดูร้อนและฤดูฝนเพื่อรออากาศเย็นในช่วงหนาวใหม่นั้นไม่คุ้มแน่นอน
การปลูกคาร์เนชั่น ปลูกได้จากเมล็ดและกิ่งชำ ต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดมักให้ดอกเล็ก ก้านอ่อนและสั้น มักใช้ในการปลูกประดับแปลงมากกว่านำมาใช้เป็นไม้ตัดดอก ดอกมีคุณภาพต่างกับดอกที่ปลูกจากกิ่งชำสำหรับตัดดอกมาก

การเพาะเมล็ด
ตามแคตตาล็อกของบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์มีเมล็ดพันธุ์คาร์เนชั่นจำหน่าย พันธุ์ที่นิยมปลูกกัน ได้แก่ Giant Chabaud, Knight, Enfant de Nice เป็นต้น
เมื่อได้เมล็ดมาแล้วให้เพาะเมล็ดเป็นแถวในวัสดุเพาะเมล็ดเช่น ดิน:ทราย:ปุ๋ยคอกเก่า ๆ ในอัตราส่วนอย่างละเท่าๆ กันใช้ระยะระหว่างแถวประมาณ 2 นิ้ว ระยะระหว่างต้นประมาณ 1 นิ้ว แล้วกลบเมล็ดบางๆ หรือใช้ฟางคลุมเมล็ด เมล็ดจะงอกใน 4-7 วัน ระยะเริ่มงอกอย่าให้ถูกแสงโดยตรง เมื่อต้นเริ่มมีใบจริงจึงย้ายที่ให้ได้รับแสงมากขึ้น หลังจากงอกได้ 1เดือนจึงเริ่มย้ายลงแปลงปลูก ปลูกต้นให้ห่างกันประมาณ 20 ซม.

การใช้กิ่งชำ
พันธุ์คาร์เนชั่นที่ปลูกตัดดอก มีจำหน่ายเป็นกิ่งชำที่ออกรากแล้ว(rooted cuttings) และกิ่งชำที่ยังไม่ออกราก (unrooted cuttings) โดยสั่งจากบริษัทจำหน่ายกิ่งชำในต่างประเทศซึ่งรับรองการปลอดโรค เป็นกิ่งชำที่สะอาดและแข็งแรงมาปลูก หรือถ้ามีต้นแม่อยู่แล้ว ใช้ปลายยอดขนาด 4-5 นิ้ว หักจากต้นแม่ตรงข้อ เอาใบคู่ล่างออกแล้วจุ่มโคนกิ่งลงในสารเร่งรากเช่นเซราดิกซ์เบอร์ 1 หรือ 2 ก่อนนำไปปักชำในวัสดุชำคือทราย:ขี้เถ้าแกลบในอัตรา 1:1 ใช้ระยะระหว่างกิ่งชำ 1 นิ้ว ระยะระหว่างแถว 2 นิ้ว ชำลึก 2 – 1 นิ้ว เมื่อออกรากยาวประมาณ 5 นิ้ว ก็นำออกปลูกในแปลงได้ ระยะเวลาจากการชำกิ่งถึงออกรากประมาณ 20 วันแล้วแต่พันธุ์และฤดูกาล ถ้าปล่อยให้รากยาวกว่านี้เวลาเอาไปปลูก ในแปลงรากจะขาดง่ายและใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งจึงจะตั้งตัวได้

แปลงปลูกและระยะปลูก
ขนาดของแปลงควรกว้าง 1 เมตร ความยาวไม่จำกัดแล้วแต่ความสะดวก ใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 6 นิ้ว และระหว่างแถว 8 นิ้ว ระยะปลูกของคาร์เนชั่นค่อนข้างแคบเนื่องจากคาร์เนชั่น เติบโตทางความสูงมากกว่าความกว้างของทรงพุ่ม

ดินปลูก
ดินปลูกควรร่วน โปร่ง มีอินทรียวัตถุประมาณ 1/4 เป็นอย่างน้อย ที่สำคัญที่สุดคือต้อง ระบายน้ำดีเพราะคาร์เนชั่นจะเป็นโรคได้ง่ายถ้าดินปลูกแฉะหรือระบายน้ำไม่ดี pH ของดินควรเป็น 6.5

การย้ายปลูก
เมื่อกิ่งชำออกรากยาวเพียงครึ่งนิ้วก็ย้ายลงแปลงได้ เวลาปลูกอย่าปลูกลึกเกินไปจะทำให้ต้นโตช้าและเป็นโรคได้ง่ายจึงปลูกตื้นเพียง ½  - 1 นิ้วแล้วกลบโคนต้นให้กระชับแล้วรดนํ้าให้ชุ่ม ถ้าวันรุ่งขึ้นปรากฎว่ามีต้นล้มประมาณ 1/3  แสดงวาปลูกถูกต้อง ถ้าไม่มีต้นล้มเลยแสดงว่าปลูกลึกเกินไป ถ้ามีต้นล้มให้จับต้นตั้งตรงแล้วกลบโคนต้นอีกครั้ง ถ้าอากาศร้อนหรือแดดจัดควรให้น้ำบ่อย ๆ โดยเฉพาะใน 2-3 วันแรก

การให้น้ำ
การให้น้ำแต่ละครั้งให้ชุ่มลึกลงถึงระดับรากคือประมาณ 8 นิ้ว หลังจากนั้นปล่อยให้หน้าดินแห้งแล้วจึงรดน้ำใหม่ ถ้าปล่อยให้ดินชุ่มอยู่ตลอดเวลาจะมีโอกาสเกิดโรคต้นเน่าได้มาก ไม่ควรให้นํ้าแบบสปริงเคลอร์เพราะจะช่วยกระจายสปอร์ของโรคให้แพร่ไปได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ให้รดน้ำแล้วกะเวลาให้ใบแห้งก่อนค่ำ

การเด็ดยอด

เมื่อย้ายปลูกได้ประมาณ 1 เดือน ยอดจะเริ่มยืด ให้เด็ดยอดออกให้เหลือ 4-5 คู่ใบติดอยู่กับต้น ควรเด็ดยอดตอนเช้าเมื่อเนื้อเยื่อยังเปราะ ถ้าเด็ดยอดขณะอากาศร้อนจัดอาจได้แผลที่ฉีดขาด เชื้อโรคจะเข้าทำลายได้ง่าย
การเด็ดยอดจะทำให้แตกตาข้างอีกประมาณ 3-6 หน่อซึ่งจะเติบโตเป็นกิ่งดอก การเด็ดยอดทำให้ได้ดอกช้าออกไป แต่ได้ดอกที่มีคุณภาพดีและได้จำนวนดอกมากขึ้น ในการค้านิยมให้ต้นแตกหน่อ 4 หน่อ

การเด็ดดอกข้าง
เมื่อคาร์เนชั่นออกดอก จะมีดอกข้างหลายดอกเกิดขึ้นพร้อมกันโดยธรรมชาติต้องเด็ดดอกข้างเหล่านั้นออกให้หมดเหลือแต่ดอกกลางดอกเดียว ดอกกลางจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเพราะได้รับอาหารเต็มที่ การเด็ดดอกข้างต้องทำตั้งแต่มีขนาดพอเด็ดได้คือใหญ่กว่าหัวไม้ขีดไฟเล็กน้อย ใช้นิ้วหัวแม่มือปลิดออกโดยบิดลงล่างจะหลุดออกได้โดยง่าย ถ้าปล่อยให้ดอกข้างโตมากนอกจากจะแย่งอาหารจากดอกกลางแล้ว ยังทำให้เกิดแผลใหญ่และอาจเบียดดอกกลางให้เฉไปบ้าง
สำหรับคาร์เนชั่นดอกช่อ นิยมเด็ดดอกกลางออกเพื่อให้ดอกข้างยืดและเจริญพร้อมกัน มีขนาดดอกสม่ำเสมอ

การให้ปุ๋ย
ควรคลุกปุ๋ยฟอสฟอรัสเช่น ซูเปอร์ฟอสเฟต 10 กก. ลงในดินในแปลงกว้าง 1 เมตร ยาว 20 เมตร หลังจากย้ายปลูกแล้วให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง อัตรา 2:1:1 ละลายนํ้ารด และหลังจากเด็ดยอดจนถึงออกดอกจึงให้ปุ๋ยสูตร 5-10-5 ละลายนํ้ารด 7-10 วันต่อครั้ง

การคํ้าต้น

ควรใช้ตาข่ายพยุงลำต้นอย่างน้อยที่สุด 2 ชั้น ชั้นแรกสูงจากดินประมาณ 1 คืบ หรือ 15 ซม. ชั้นที่ 2 สูงจากชั้นแรกอีก 15 ซม. ขึงตาข่ายให้ตึง ตาข่ายควรมีขนาด 5” X 5″ พยายามให้กิ่งก้านอยู่ในช่องตาข่ายทั้งหมดทั้งแต่ยังเล็กจนต้นโตขึ้นมิฉะนั้นก้านดอกจะคดหรืองอ

การตัดดอก
ควรตัดดอกเมื่อกลีบดอกคลี่ทำมุมฉากกับกลีบรองดอกโดยหักกิ่งตรงข้อ ถ้าจะปลูกเพียงฤดูเดียวก็ตัดก้านได้ยาว แต่ไม่ควรตัดชิดโคนต้นเพราะเนื้อเยื่อบริเวณนั้นแข็ง จะทำให้ก้านดอกดูดน้ำยาก ถ้าจะเอาดอกรุ่นที่สอง ให้ตัดตรงจุดที่ต่ำกว่าใบคู่ที่ 8 หน่อที่เหลือจะเจริญเป็นดอกรุ่นต่อไป เมื่อตัดดอกแล้วให้แช่น้ำทันที ภาชนะที่ใส่ดอกต้องล้างให้สะอาด ถ้ามีน้ำยารักษาดอกไม้ให้บานนานด้วยยิ่งดี

ลักษณะของดอกที่ดี
1. สีสดใส ดอกและใบสะอาด
2. กลีบเรียงซ้อนกันแน่นโดยเฉพาะกลีบที่อยู่ตรงใจกลางดอก
3. รูปดอกไม่เบี้ยว
4. ไม่มีอาการกลีบรองดอกแตก
5. ก้านดอกยาว ตรงและแข็งแรง
6. ไม่มีรอยช้ำหรือเสียหาย

การคัดขนาดของสมาคมไม้ดอกอเมริกา
เกรดสีฟ้าเกรดลีแดงเกรดสีเขียว
ขนาดเส้นผ่าศนย์กลางดอกดอกตมแน่น 5044ไม่กำหนด
(มม.)ดอกแย้ม 6256ไม่กำหนด
ดอกบาน 7569ไม่กำหนด
ความยาวก้านต่ำสุด (ซม.)554330

การคัดขนาดของโครงการหลวง
เกรดเอเกรดบีเกรดซี
ขนาดดอกบานต่ำสุด (ซม.)765
ความยาวก้านอย่างต่ำ (ซม.)504030

อายุของต้น
ที่จริงคาร์เนชั่นเป็นพืชอายุหลายปีแต่ในทางปฎิบัติของประเทศทั้งในยุโรปและอเมริกา ผู้ปลูกจะปลูกคาร์เนชั่นในโรงกระจกเพื่อเอาดอกเพียง 2 ปี แล้วรื้อแปลงเพื่อปลูกด้วยกิ่งชำใหม่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องโรค จำนวนดอกและคุณภาพของดอกลดลงจนไม่คุ้มที่จะปลูกต่อไป แต่สำหรับในเมืองไทย ถ้าปลูกเลี้ยงในโรงเรือนในสภาพบนดอยที่มีอากาศเย็นและมีการเอาใจใส่อย่างดี อาจปลูกได้ถึง 2 ปี เช่นเดียวกัน แต่ถ้าการดูแลไม่สม่ำเสมอและไม่เคร่งครัด หรือปลูกในพื้นราบแล้วแนะนำให้ปลูกในช่วง ฤดูหนาวเพียงรุ่นเดียวหรืออย่างมากที่สุดก็สองรุ่นแล้วรื้อแปลงทิ้ง

ปัญหาที่พบในการเลี้ยงดู

1. กลีบรองดอกแตก (Calyx splitting)
อาการคือ กลีบเขียวชั้นนอกที่หุ้มโคนกลีบดอกแตก ทำให้กลีบดอกห้อยลงมา ดอกเสียรูปทรง ปัญหานี้พบกับทุกพันธุ์มากน้อยแล้วแต่ฤดูกาลและชนิดพันธุ์ ปกติ calyx จะแตกก่อนดอกบานประมาณ 10-14 วัน ดอกที่ calyx แตกจะเสียราคา
สาเหตุสำคัญของการที่กลีบรองดอกแตกคือ อุณหภูมิ มีผู้สังเกตว่า การที่อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ประมาณ 6 ° ซ ใน 1 ชั่วโมง จะทำให้กลีบรองดอกแตกและการมีอุณหภูมิต่ำติดต่อกันป็นเวลานานจะทำให้ดอกสร้างกลีบดอกเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากจนกลีบรองดอกรับไว้ไม่ไหว กลีบรองดอกจึงแตก
การมีอุณหภูมิสูงในเวลากลางวันก็ทำให้กลีบรองดอกแตกได้ เช่น ปลูกในที่มีอุณหภูมิ 25° ซ สันนิษฐานว่าการแตกเกิดเพราะเนื้อเยื่อของกลีบรองดอกไม่มีความยืดหยุ่นที่อุณหภูมิสูง
ดังนั้น การควบคุมอุณหภูมิในการปลูกทั้งอุณหภูมิกลางวันและกลางคืน จึงสำคัญมาก ในต่างประเทศเมื่ออากาศหนาวมาก ต้องมีเครื่องทำความร้อน(heater) เพื่อลดการเปลี่ยนอุณหภูมิ อย่างกะทันหันของอุณหภูมิกลางวันมาเป็นอุณหภูมิกลางคืนซึ่งเย็นจัด และในเวลากลางวันต้องมีการ ระบายอากาศอย่างดีด้วย
นอกจากอุณหภูมิเป็นสาเหตุที่สำคัญแล้ว กลีบรองดอกแตกยังอาจเกิดได้จาก
-โครงสร้างของดอก ถ้าดอกมีกลีบรองดอกตื้นและกว้างจะไม่ค่อยแตก แต่ถ้าลึกและแคบ ดอกที่มีกลีบมากจะแตกได้ง่ายหรือเนื้อเยื่ออ่อนแอก็เป็นสาเหตุหนึ่ง
-จำนวนกลีบดอก ดอกที่มีกลีบมากจะมีโอกาสแตกมากกว่า
-กรรมพันธุ์ บางพันธุ์แตกมาก บางพันธุ์แตกน้อย แม้แต่บางต้นในสายต้น (clone) เดียวกันก็แตกมากกว่าต้นอื่น วิธีแก้คือ การคัดเลือกแต่ต้นที่พบปัญหานี้น้อยมาปลูก
-ระยะเวลาวิกฤตของการแตก เมื่อดอกเริ่มบานกลีบรองดอกจะเผยอออกก่อนเพื่อให้กลีบดอกบาน การแตกของกลีบรองดอกอาจเกิดระหว่าง 1-12 วันหลังจากกลีบรองดอกเผยอ แต่ระยะ 2-6 วันนับจากกลีบรองดอกเผยอจะเป็นระยะที่เกิดการแตกมากที่สุด
-ธาตุอาหาร การให้ปุ๋ยฟอสฟอรัสมากเกินไป ปุ๋ยไนโตรเจนน้อยเกินไปหรือขาดธาตุโบรอนก็เป็นสาเหตุให้กลีบรองดอกแตกได้
-โรค คาร์เนชั่นที่เป็นโรคไวรัส จะทำให้ต้นอ่อนแอและกลีบรองดอกแตกมากผิดปกติ

2. ปัญหาเรื่องโรค

โรคใบจุด (Alternaria leaf spot)
อาการ เกิดที่ใบโดยมีแผลวงกลมสีน้ำตาล ซึ่งจะขยายวงกว้างออกไป มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 ซม. ใบที่มีแผลใหญ่มาก ปลายใบจะแห้งเหี่ยวไป เนื้อเยื่อตรงกลางแผลจะแห้งเป็นสีน้ำตาลอ่อน ขอบแผลมีสีน้ำตาลอมม่วงเห็นได้ชัดเจนเวลาที่อากาศชื้น ๆ จะมีราเป็นผงสีนํ้าตาลดำเกิดปกคลุมบาง ๆ บนแผล แผลที่ขยายออกไปมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรีรูปไข่ ต้นที่มีหลายแผลบนใบจะทำให้ใบแห้งและต้นอาจถึงตายได้
การป้องกันกำจัด ใช้ยากันราฉีดพ่นประมาณ 10-15 วันต่อครั้ง ถ้ามีฝนตกชุก ให้ฉีดถี่ขึ้นกว่านั้นและใช้ยาจับใบ (sticker) ช่วย

โรคราสนิม(rust)
อาการ ตามลำตัน กิ่งและใบจะมีแผลปริแตกเป็นรอยยาวประมาณ 1-2 ซม. ภายในมีผงสีนํ้าตาลแดงซึ่งฟุ้งกระจายไปตามลมรอบ ๆ แผลมีสีเหลือง ใบที่มีแผลหลายแผลอาจมีปลายใบแห้ง ต้นที่เป็นโรคจะแคระแกร็นและมีใบม้วนงอ
การป้องกันกำจัด ใช้ยาป้องกันราฉีด เช่น ไซเนบ มาเนบ คาราเธน

โรคโคนเน่าและรากเน่า (Sclerotium rot)
อาการ ในระยะแรกจะแสดงอาการเหลืองและเหี่ยว โดยมากเริ่มจากใบล่างขึ้นมาก่อน เมื่อตรวจดูบริเวณโคนต้นแล้วจะพบว่า ส่วนของลำต้นที่ติดกับดินมีรอยชํ้าสีนํ้าตาล ลำต้นตรงส่วนที่เน่า จะหักพับได้ง่าย เมื่ออาการรุนแรงจะแสดงอาการเหี่ยวทั้งต้นและตายในที่สุด บริเวณโคนต้นและดินรอบๆ โคนต้นจะพบเส้นใยสีขาวขึ้นปกคลุม ในบางครั้งจะพบเม็ดSclerotium สีน้ำตาลขนาดเท่าหัวเข็มหมุดปนอยู่ด้วย โรคนี้ระบาดได้ดีในที่ๆ มีอุณหภูมิและความชื้นสูง หรือให้น้ำมากเกินไป
การป้องกันกำจัด จากผลการทดลองพบว่าการใช้เทอร์ราคลอร์ 2 กรัมต่อนํ้า 1 ลิตร เทราดในดินทุก 7 วัน หรือใช้แคปแทน 6 กรัมต่อนํ้า 1 ลิตร พ่นทั่วต้นทุก 7 วัน หรือใช้คูปราวิท 3 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร พ่นทุก 10-14 วัน จะปราบโรคนี้ได้ดี
ในเชียงใหม่โรคนี้เป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุด โดยเฉพาะในฤดูฝนและกำจัดได้ยาก เนื่องจากเชื้อรา Sclerotium ที่เป็นสาเหตุสามารถอยู่ข้ามฤดูได้โดยสร้าง Sclerotia body ซึ่งเกิดจากเส้นใย มาพันเป็นก้อนตกค้างอยู่ในดินได้นานหลายปีโดยไม่ตาย เมื่อมีสภาพแวดล้อมและอาหารเหมาะสมก็สามารถเจริญงอกเส้นใยต่อไปได้ การอบดินหรือใช้สารเคมีราดในดินจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าดินนั้นเคยปลูกคาร์เนชั่นที่เป็นโรคมาก่อน

โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส
-Carnation mottle virus มีลักษณะเป็นจุดด่างบนต้น ทำให้ลำต้นแคระแกร็น บางครั้งอาการต่าง ๆ จะไม่ปรากฎให้เห็น
-Carnation mosaic virus เกิดเป็นรอยด่างสีเขียวอ่อนบนใบ ถ้าเกิดบนกลีบดอกทำให้ดอกมีสีไม่สม่ำเสมอ โรคนี้แพร่หลายโดยเพลี้ย
-Carnation ringspot virus เกิดเป็นวงสีเทาหรือเหลืองบนใบ แพร่ได้อย่างรวดเร็ว โดยการสัมผัสเพลี้ยเป็นตัวนำโรคนี้
-Carnation streak virus เกิดเป็นเส้นสีเหลืองและมีจุดสีแดงขนานกับเส้นนั้น ใบที่อยู่ด้านล่างจะเหลืองและตายไปในที่สุด
โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสไม่มีทางกำจัด มีแต่ทางป้องกันโดยปลูกแต่ต้นที่ปลอดโรค และ ฉีดยาป้องกันแมลงที่เป็นตัวนำโรค

โรคเหี่ยวที่เกิดจากบักเตรี (Bacterial wilt)
โรคนี้ทำลายท่อนํ้าท่ออาหารภายในต้นพืช ทำให้การส่งน้ำและอาหารชะงัก อาการที่แสดงให้เห็นในระยะแรกคือกิ่งก้านจะเหี่ยวทีละกิ่งหรือทีละหลายกิ่งถ้าเป็นมากใบจะเหลืองในที่สุดต้นก็ตาย การป้องกันกำจัดคือทำลายต้นที่เป็นโรคโดยการเผาทิ้งทันทีที่ตรวจพบและไม่ปลูกซํ้าอีกในแปลงที่เป็นโรค

แมลง
เพลี้ยอ่อน ไรแดง เพลี้ยไฟ หนอนเจาะดอก หนอนม้วนใบ ตั๊กแตน กำจัดโดยใช้ยาฆ่าแมลง
ปัญหาเรื่องแมลงเกิดกับดอกทำให้คุณภาพดอกลดลงหรือทำให้ขายไม่ได้แต่ปัญหาเรื่อง โรคมักเกิดกับต้น โดยเฉพาะฤดูฝนซึ่งฝนตกหนักและความชื้นในอากาศสูงมาก คาร์เนชั่นจะเป็นโรค โคนเน่าและตายไปเป็นจำนวนมาก ต้นที่เป็นโรคแต่ไม่ตายก็จะอ่อนแอ การเจริญเติบโตช้ากว่าปกติมาก กว่าจะฟื้นตัวก็ใช้เวลานาน แม้จะใช้ผ้าพลาสติกใสชนิดหนาทำหลังคาให้ด้านบนก็ไม่ได้ผลเนื่องจากฝนยังสาดเข้าไปในแปลงได้จึงจำเป็นต้องปลูกในโรงเรือนหลังคาพลาสติกที่มีมุ้งพลาสติกบุด้านข้างเพื่อ กันแมลงและใช้ดินระบายน้ำดีที่ที่อบฆ่าเชื้อแล้ว และมีโปรแกรมฉีดยาป้องกันเชื้อรา

วิธีการปลูกดอกกุหลาบ


กระถางใบใหญ่ ให้เจาะรูกระถางด้านข้างใกล้ก้นกระถางเพิ่ม 2 รู ให้ผสมดิน1 ส่วน ต่อ ขุย มะพร้าว 1 ส่วน ให้ร่วนน้ำระบายได้ดี จากนั้นใส่ปุ๋ยคอก หรือ มูลค้างคาว อาจใช้กระดูกป่นถ้ามีสัก 1 กำมือ อย่าเยอะกว่านี้ คลุกส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันตั้งทิ้งไว้ มากน้อยเท่าไรขึ้นอยู่กะขนาดของกระถางที่จะปลูก เอาดินที่เตรียมลงก่อน เอากุหลาบวางลงไปตรงกลางให้ต่อกุหลาบเอนไปด้านหลังนิดหน่อย กลบดินให้ทั่ว โรยด้วยปุ๋ยออสโมโค้ท สูตรเสมอ 3 หรือ 6 เดือนก็ได้ 1-2 ช้อนโต๊ะ ปิดด้วยดินจนมิด โรยด้านบนทับด้วย 15-0-0 ซัก 1 ช้อนโต๊ะ ถ้าไม่มี ใช้ปุ๋ยปลาป่น ได้เหมือนกัน ซัก 1 กำมือ ห้ามกดอัดดินเด็ดขาด ด้านบนให้หาวัสดุจำพวกฟาง หรือ ขุยมะพร้าวมาปิดทับอีกที รดน้ำให้ชุ่มถ้าดินยุบค่อยเติมดินใหม่ได้ จากนั้นทุกครึ่งเดือนใช้ 15-0-0 โรยประมาณ ครึ่งช้อนโต๊ะ สลับกับปุ๋ยปลาป่น 1-2 ช้อนโต๊ะ จนกว่าต้นจะงาม พยายามเด็ดดอกทิ้ง 2-3 รอบก่อน เวลาออกดอกดอกจะได้ใหญ่ สีสดใส ช่วงที่ใบงามแล้ว อาจจะสลับด้วย 13-0-46 ก็ได้ค่ะ เพื่อเร่งให้ดอกออก และดอกจะได้ใหญ่ๆ

วิธีเตรียมดินปลูกกุหลาบ......
การปลูก..... กระถาง 10 นิ้วขึ้นไป ถ้าปลูกลงดิน จะงอกงามดีกว่ากระถาง ควรเว้นระยะห่าง 60-80 ซม.
ส่วนผสมของดินปลูก.....- ดิน 1 ส่วน- อินทรีย์วัตถุ (ปุ๋ยหมัก ใบไม้ผุ หรือ แกลบ) 2 ส่วน- ปุ๋ยคอก 1 ส่วน- ขุยมะพร้าว (ใช้หรือไม่ก็ได้) 1/2 ส่วน
ที่ตั้งแปลง หรือ ที่วางกระถาง..... เป็นที่มีแดดอย่างน้อย 1/2 วัน ปกติกุหลาบต้องการแดดเต็มวัน แต่เนื่องจากกุหลาบไม่ชอบอากาศร้อน ดังนั้นในช่วงฤดูร้อนควรให้กุหลาบถูกแดดนานแค่ 1/2 วันก็พอ อาจจะย้ายที่วางใหม่ หรือ พรางแสงด้วยซาแลน
การให้น้ำ..... ปกติ 1 ครั้งต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ลิตรต่อกระถาง 10 นิ้ว แต่ฤดูร้อน อากาศแห้งมาก อาจต้องเพิ่มเป็น 2 ครั้งต่อวัน
การให้ปุ๋ย.....- ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 หรอ 16-16-16 หรือ 14-9-20 หรือ 15-5-20 หรือ 21-9-24- ปุ๋ยคอก (มูลสัตว์) ขี้ไก่ (แบบอัดเม็ด จะดีกว่าจากฟาร์ม เพราะเวลารดน้ำจะกลิ่นเหม็นมาก) ขี้วัว (ต้องใช้ปริมาณมากกว่าขี้วัว แต่ข้อเสีย เรื่องวัชพืชที่ตามมา)- ปุ๋ยคอก มีแร่ธาตุอาหารน้อยกว่าปุ๋ยเคมี จึงควรใช้ปุ๋ยคอกและเคมีสลับกัน โดยใช้ปุ๋ยคอกประมาณ 3-4 เดือนครั้ง เพื่อแก้ปัญหาดินแข็ง เหนียวจากปุ๋ยเคมี และทุกๆ 6 เดือน- ปูนโดโลไมท์ (มีแคลเซียมและแมกนีเซียม) ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ต่อกระถาง 10-12 นิ้ว เพื่อแก้ความเป็นกรดจากปุ๋ยเคมี- เมื่อใส่ปุ๋ยแล้วควรรดนำทันที เพื่อไม่ให้เข้มข้นตรงจุดใดจุดหนึ่งมากไป ทำให้รากเสียหาย ปุ๋ยเคมีควรใส่น้อยๆ แต่บ่อยๆ ไม่ควรใส่มากเกินไปเพราะจะทำให้ขอบใบไหม้ และตายได้
การตัดแต่ง.....- ต้นใหม่ ตัดแต่งกิ่งลีบ เล็ก ที่เป็นกิ่งรุ่นแรกๆ ออกที่โคนกิ่ง เหลือไว้แต่กระโดงใหญ่ๆ- ต้นที่โตแล้ว ตัดกิ่งผอม กิ่งเป็นโรค บิดงอ กิ่งที่ง่ามแคบ หรือกิ่งที่พุ่งเข้าในพุ่ม กิ่งแก่ที่ไม่แตกยอดดอกอีกแล้วทิ้ง- ดอกโรย ควรรีบตัดออกเพื่อไม่ให้เสียอาหารต่อไป ถ้าเป็นกุหลาบก้านยาวควรตัดเอาความยาวออกครึ่งนึ่งของความยาวก้าน หรือต่ำลงมาจนถึง 5 ใบชุด ไว้ซัก 2-3 ชุด- การตัดแต่งประจำปี ควรทำปีละ 2 ครั้ง ในเดือนตุลาคม (ก่อนหนาว) และเดือนเมษายน (ก่อนฝน) เป็นการตัดแต่งเพื่อให้ตั้งพุ่มใหม่ เพื่อลดความสูง โดยตัดกิ่งกระโดงให้สั่นลงเหลือประมาณ 30-40 ซม. ถ้าต้นแข็งแรง แต่ถ้ามีกิ่งกระโดงมาก ก็ให้ตัดกิ่งแก่ออกเสียบ้าง
การเปลี่ยนกระถาง..... ทำปีละ 1 ครั้ง อาจทำพร้อมการตัดแต่งช่วงเดือนเมษายน โดยควักดินรอบๆขอบกระถางออกส่วนหนึ่ง หรือ ถอดออกทั้งต้นแล้วเปลี่ยนดินใหม่
โรค และ แมลง.....- เพลี้ยไฟ เป็นแมลงตัวเล็กแหลมเหมือนเข็ม ซ่อนอยู่ใต้กลีบดอก ทำให้ยอดอ่อนหงิกงอ ดอกด่าง- ไรแดง เป็นแมลงมุมตัวเล็ก สีเหลืองส้ม อยู่ใต้ใบ ดุดกินน้ำเลี้ยงจนใบซีด ขุ่นมัว- ใบจุดสีดำ ที่มีขอบพร่า ทำให้ใบเหลืองหลุดร่วง จะเริ่มมีอาการจากใบแก่ที่โคนต้นขึ้นมา- ราน้ำค้าง เป็นปื้นๆ จุดสีน้ำตาลม่วงเป็นที่ยอดอ่อน ทำให้ใบร่วงตั้งแต่ยังเขียว- ราแป้ง เหมือนผงสีขาวเหมือนแป้งจับ ใบหงิกพองเหมือนข้าวเกรียบว่าวราสีเทา (บอไทรทิส) กลีบนอกจะเหี่ยว และ เป็นรา ดอกไม่ยอมบาน- แคงเกอร์ ทำให้กิ่งเนแผลวงกลมสีน้ำตาลของเหลือง ส่วนมากเป็นที่โคนกิ่ง กิ่งแก่ ในที่สุดจะลามเหลืองทั้งกิ่ง แห้งดำ และลุกลามจนต้นตาย

การควบคุมโรค และ แมลง..... ควรพ่นยาอย่างน้อย 10 วันครั้ง- หนอน และ แมลงปีกแข็ง ใช้ เมโธมิล หรือ ไซเปอร์เมทริน ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องควรจับทิ้งด้วยมือ- เพลี้ยไฟ ใช้ อิมิดาคลอร์ปิด ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องตัดดอก ทำลายทิ้ง- ไรแดง ใช้ อะบาแมกติน หรือ ทอร์ค ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องฉีดลางด้วยน้ำใต้ใบ- โรคใบจุดดำ (ฤดูฝน) ใช้แมนโคแซบ หรือ ดาโคนิล หรือ ไตรโฟไรน์ ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องคลุมด้วยหลังคาพลาสติก- ราน้ำค้าง (ฤดูหนาว) ใช้เมทาแล็กซิล + แมนโดคเซ็บ ถ้าไม่ใช้สารเคมี ไม่มีข้อแนะนำ- ราแป้ง (กลางวันร้อน กลางคืนเย็น) ใช้ไตรโฟไรน์ หรือ แอนวิลล์ ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องพ่นด้วยน้ำ- ราสีเทา ใช้ไตรไฟไรน์ หรือ รอฟรัล ถ้าไม่ใช้สารเคมี ไม่มีข้อแนะนำ- แคงเกอร์ ไม่มียารักษา ใช้วิธีตัดทิ้งห่างๆจากกิ่งที่เป็นมากๆ
การฟื้นฟูกุหลาบที่ทรุดโทรม..... โดยเฉพาะต้นที่เป็นโรคใบจุดดำ ใบจะร่วงหมด ทำให้ต้นขาดอาหาร แต่ถ้ายังปล่อยให้ออกดอก จะทำให้ต้นอ่อนแอหนัก วิธีง่ายๆ ให้ตัดดอกทิ้งให้หมด เด็ดยอดอ่อนที่มีใบ 3 ใบชุดทิ้ง รวมถึงมีดอกติดมาทิ้ง หมั่นสังกตว่า ถ้ายอดใหม่ที่ออกมาหลังการเด็ดยังไม่แข็งแรง ก็ต้องเด็ดซ้ำจนว่าจะได้ยอดที่แข็งแรง และควรงดปุ๋ยจนกว่ากุหลาบจะริ่มแตกใบ